มียาทางปากสำหรับโรคสะเก็ดเงินแบบใดบ้าง?

ไฮไลท์

  1. ถึงแม้ว่าจะรักษาแล้วก็ตาม โรคสะเก็ดเงินจะไม่มีทางหายขาด
  2. การรักษาโรคสะเก็ดเงินนั้นมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและช่วยให้โรคไปอยู่ในช่วงโรคสงบเพียงชั่วคราว (Remission)
  3. ยาทางปากอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี หากโรคสะเก็ดเงินของคุณมีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองกับการรักษาแบบอื่นๆ

ยาทางปากสำหรับโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นแผ่นแดง หนา และอักเสบ และตรงแผ่นนั้นมักจะปกคลุมด้วยสะเก็ดเงินขาวซึ่งมีชื่อว่าผื่นหนา (Plagues) ในบางกรณี ผิวในบริเวณที่เป็นโรคอาจจะแตก ลอก หรือเปิดออก หลายคนอาจรู้สึกแสบร้อน เจ็บปวด และกดเจ็บรอบ ๆ บริเวณที่เป็นโรค

โรคสะเก็ดเงินเป็นภาวะเรื้อรัง แม้ว่ารักษาแล้วก็ตาม โรคสะเก็ดเงินจะไม่มีวันหายขาด ดังนั้น การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การลดอาการและช่วยให้โรคเข้าสู่ช่วงโรคสงบเพียงชั่วคราว (Remission) ช่วงโรคสงบเพียงชั่วคราวนั้นเป็นช่วงที่อาการของโรคนั้นจะไม่ปรากฎให้เห็นเลยหรือเห็นน้อยมาก

โรคสะเก็ดเงินมีทางเลือกในการรักษามากมาย รวมไปถึงยาทางปากด้วย ยาทางปากนั้นเป็นการรักษาอย่างเป็นระบบชนิดหนึ่ง ยาเหล่านี้รุนแรงมาก ดังนั้น แพทย์จึงจะจ่ายให้เฉพาะเมื่ออาการของโรคสะเก็ดเงินรุนแรงเท่านั้น ในหลาย ๆ กรณี ยาพวกนี้มีไว้สำหรับคนที่รักษาโรคสะเก็ดเงินในแบบอื่นแล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ น่าเสียดายที่พวกมันมีผลข้างเคียงและปัญหามากมาย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาทางปากต่างๆ ผลข้างเคียง และความเสี่ยง

ตัวเลือก #1: อาซิเทรติน

อาซิเทรติน (Soriatane) เป็นยาเรตินอยด์ทางปาก เรตินอยด์นั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ อาซิเทรตินเป็นเรตินอยด์ทางปากเดียวที่รักษาโรคสะเก็ดเงินในวัยผู้ใหญ่ได้ มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ด้วยเหตุนี้ แพทย์ของคุณจะจ่ายยานี้ให้ใช้ในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อโรคสะเก็ดเงินของคุณเข้าสู่ช่วงโรคสงบเพียงชั่วคราว แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณหยุดใช้ยาจนกว่าอาการจะกำเริบอีกครั้ง

ผลข้างเคียงของอาซิเทรติน

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของอาซิเทรตินได้แก่

  • ผิวและริมฝีปากแตก
  • ผมร่วง
  • ปากแห้งล
  • ความคิดก้าวร้าว
  • อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป
  • ซึมเศร้า
  • ปวดหัว
  • ปวดระหว่างดวงตา
  • ปวดข้อ
  • ตับเสียหาย

ในบางกรณีอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรง หากคุณประสบกับสิ่งเหล่านี้ โปรดโทรหาแพทย์ทันที ผลข้างเคียงเหล่านั้นได้แก่

  • วิสัยทัศน์เปลี่ยนไป หรือสูญเสียการมองเห็นในตอนกลางคืน
  • ปวดหัวมาก
  • วิงเวียนศีรษะ
  • หายใจถี่
  • บวม
  • เจ็บหน้าอก
  • อ่อนแอ
  • มีปัญหาในการพูด
  • สีผิวเริ่มเหลืองหรือตาเริ่มขาม

อาซิเทรตินกับการตั้งครรภ์

โปรดพูดคุยแผนการสืบพันธุ์ของคุณกับแพทย์ก่อนที่จะเริ่มใช้อาซิเทรติน ยานี้สามารถทำให้เกิดปัญหากับวิธีการคุมกำเนิดได้ คุณไม่ควรใช้อาซิเทรตินเมื่อตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์ หลังจากที่หยุดใช้อาซิเทรตินแล้ว คุณไม่ควรตั้งครรภ์เป็นเวลา 3 ปี

หากคุณเป็นผู้หญิงที่สามารถมีบัตรได้ คุณไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยานี้และหลังจากเลิกใช้ยานี้ไป 2 เดือน การรวมอาซิเทรตินกับแอลกอฮอล์สามารถทิ้งสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายไว้ได้ สารนี้มีผลกระทบกับการตั้งครรภ์ในอนาคตของคุณ ผลกระทบนี้จะคงอยู่เป็นเวลาสามปีหลังจากที่คุณเส็รจสิ้นการรักษา

ตัวเลือก #2: ไซโคลสปอริน

ไซโคลสปอรินเป็นตัวกดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) มีชื่อทางการค้าเป็น นีโอรัล เก็นกรัฟ (Gengraf) และแซนดิมุม ใช้เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงินระดับรุนแรงหากการรักษาอื่นไม่ได้ผล

ไซโคลสปอรินทำงานโดยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสงบลง ช่วยป้องกันหรือหยุดการตอบสนองที่มากเกินไปในร่างกายที่ทำให้เกิดอาการของโรคสะเก็ดเงิน ยาตัวนี้แรงมากและสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรง

ผลข้างเคียงของไซโคลสปอริน

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของไซโคลสปอนรินได้แก่

  • ปวดหัว
  • มีไข้
  • เจ็บท้อง
  • วิงเวียน
  • อาเจียน
  • การขึ้นของเส้นผมที่ไม่พึงประสงค์ (unwanted hair growth)
  • ท้องร่วง
  • หายใจถี่
  • อัตราการเต้นของหัวใจช้าหรือเร็ว
  • ปัสสาวะเปลี่ยนสี
  • ปวดหลัง
  • มือหรือเท้าบวม
  • ช้ำหรือมีเลือดออกผิดปกติ
  • เหนื่อยมากเป็นพิเศษ
  • อ่อนแอมากเป็นพิเศษ
  • ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
  • มือสั่น (tremor)

ความเสี่ยงอื่น ๆ ของไซโคลสปอริน

ไซโคลสปอรินสามารถทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ เช่นกัน ได้แก่

  • ปฏิกิริยาระหว่างยา บางรุ่นของไซโคลสปอรินก็ไม่สามารถใช้ได้พร้อมกับหรือหลังจากการรักษาโรคสะเก็ดเงินแบบอื่น ๆ บอกให้แพทย์ของคุณรู้เกี่ยวกับยาหรือการรักษาที่คุณเคยใช้และกำลังใช้อยู่ รวมไปถึงยาที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน เช่นเดียวกับการรักษาของโรคอื่น ๆ ด้วย หากคุณจำยาที่เคยใช้ไม่ได้ ซึ่งหลายคนมักจะเป็น ถามเภสัชกรเพื่อให้ได้รายชื่อยามา
  • ความเสียหายของไต แพทย์จะตรวจสอบความดันโลหิตของคุณ่อนและหลังการรักษาด้วยยานี้ คุณอาจจะต้องตรวจทดสอบปัสสาวะเป็นประจำด้วย เพื่อให้แพทย์สามารถตรวจสอบความเสียหายของไตที่อาจเกิดขึ้นได้ แพทย์ของคุณอาจหยุดการรักษาด้วยไซโคลสปอรินชั่วคราวหรือถาวรเพื่อปกป้องไตของคุณ
  • การติดเชื้อ ไซโคลสปอรินเพิ่มความเสี่ยงในการชิดเชื้อ คุณควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนป่วยเพื่อไม่ให้คุณได้เชื้อโรคมาจากเขา ล้างมือบ่อย ๆ หากคุณมีสัญญาณของการติดเชื้อ ติดต่อแพทย์ของคุณทันที
  • ปัญหาระบบประสาท ยานี้สามารถทำให้เกิดปัญหากับระบบประสาทได้ บอกให้แพทย์ของคุณได้รู้ทันทีหากคุณมีอาการเหล่านี้
    • การเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิต
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
    • เวียนหัว
    • หมดสติ
    • ชัก
    • ผิวเริ่มมีสีเหลืองหรือตาเริ่มมีสีขาว
    • เลือดในปัสสาวะ

ตัวเลือก #3: เมโธเทรกเซท

เมโธเทรกเซท (Trexall) อยู่ในกลุ่มยาต้านเมตาบอลิซึม (Antimetabolites) ยานี้จะจ่ายให้กับคนที่มีโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรงและไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาแบบอื่น ๆ มันสามารถชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวและหยุดการสร้างของสะเก็ดได้

ผลข้างเคียงของเมโธเทรกเซท

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของเมโธเทรกเซทได้แก่

  • เหนื่อยล้า
  • หนาวสั่น
  • ไข้
  • วิงเวียน
  • ปวดท้อง
  • เวียนหัว
  • ผมร่วง
  • ตาแดง
  • ปวดหัว
  • เหงือกอักเสบ
  • เบื่ออาหาร
  • การติดเชื้อ

แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทานอาหารเสริมกรดโฟลิก (วิตามินบี) เพื่อช่วยป้องกันผลข้างเคียงเหล่านี้

ในบางกรณี ยานี้อาจะทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ยาในปริมาณที่สูงขึ้น ติดต่อแพทย์ทันทีหากคุณพบหนึ่งในอาการต่อไปนี้

  • เลือดออกผิดปกติ
  • ผิวเริ่มเหลืองและตาเริ่มขาว
  • ปัสสาวะสีเข้มหรือมีเลือดในปัสสาวะของคุณ
  • ไอแห้งๆ แบบไม่มีเสมหะ
  • อาการแพ้ อาจรวมไปถึงปัญหาในการหายใจ ผื่น หรือลมพิษช

ความเสี่ยงอื่นๆ ของเมโธเทรกเซท

เมโธเทรกเซทสามารถทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ได้อีกด้วย อันได้แก่

  • การปฏิสัมพันธ์ระหว่างยา คุณไม่ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นบางตัวเนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ยาเหล่านี้อาจรวมไปถึงยาต้านการอักแสบที่มีขายอยู่ที่เคาน์เตอร์ทั่วไป พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับปฏิกิริยาร้ายแรงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากคุณใช้ยาบางชนิด
  • ทำลายตับ หากใช้ยานี้เป็นเวลานานอาจทำให้ตับถูกทำลายได้ คุณไม่ควรใช้เมโธเทรกเซทหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือประวัติของการดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดปกติหรือโรคตับจากแอลกอฮอล์ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจสอบความเสียหายของตับ
  • ผลกระทบกับโรคไต ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยานี้หากคุณเป็นโรคไต คุณอาจจะต้องการปริมาณยาที่แตกต่างออกไป
  • เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้ ผู้ชายทำให้ผู้หญิงตั้งภรรค์ในระหว่างการรักษาเป็นระยะเวลาสามเดือนหลังจากหยุดใช้ยานี้ ในช่วงนี้ผู้ชายควรใช้ถุงยางอนามัย

ตัวเลือก #4: อะพรีมิลาส (Apremilast)

ในปี 2557 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) อนุมัติให้อะพรีมิลาส (Otezla) สามารถใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินและโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงินในผู้ใหญ่ อะพรีมิลาสนั้นทำงานภายในระบบภูมิคุ้มกันและลดการตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบ

ผลข้างเคียงของอะพรีมิลาส

อ้างอิงจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ผลข้างเคียงที่พบมากในระหว่างการทดลองทางคลินิกนั้นได้แก่

  • ปวดหัว
  • วิงเวียน
  • ท้องร่วง
  • อาเจียน
  • อาการหวัด เช่น น้ำมูกไหล
  • ปวดท้อง

ผู้ที่ใช้ยานี้รายงานว่ามีภาวะซึมเศร้าบ่อยครั้งในระหว่างการทดลองทางคลินิกมากกว่าผู้ที่ได้รับยาหลอก

ความเสี่ยงอื่น ๆ ของอะพรีมิลาส

ข้อกังวลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อะพรีมิลาสได้แก่

  • น้ำหนักลดลง อะพรีมิลาสสามารถทำให้น้ำหนักลดอย่างอธิบายไม่ได้ แพทย์ของคุณควรติดตามน้ำหนักที่ลดลงอย่างอธิบายไม่ได้ในระหว่างการรักษา
  • ผลกระทบกับโรคไต ปรึกษาแพทย์ของคุณก่อนที่จะใช้ยานี้หากคุณมีโรคไต คุณอาจจำเป็นต้องใช้ขนาดยาที่ต่างออกไป
  • ปฏิกิริยาระหว่างยา คุณไม่ควรใช้ยาอะพรีมิลาสกับยาอื่น ๆ เพราะมันอาจทำให้อะพรีมิลาสมีประสิทธิภาพน้อยลงได้ ตัวอย่างของยาเหล่านี้ได้แก่ ยากันชักคาร์บามาเซพีน เฟนิโทอิน และฟีโนบาร์บิทัล พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับยาอื่น ๆ ที่คุณใช้อยู่ก่อนที่จะเริ่มใช้อะพรีมิลาส

มีทางอื่นที่จะรักษาโรคสะเก็ดเงินอีกไหม?

การรักษาอย่างเป็นระบบ (Systemic Treatments) รวมไปถึงยาฉีดตามใบสั่ง เช่นเดียวกับยาทางปาก ยาแบบฉีดที่ชื่อว่าไบโอโลจิกส์ทำงานทั่วร่างกายของคุณเพื่อชะลอการพัฒนาของโรค การรักษาอื่นๆ ได้แก่ การบำบัดด้วยแสง และยาเฉพาะที่

ไบโอโลจิกส์ (Biologics)

ยาแบบฉีดบางชนิดจะเปลี่ยนแปลงระบบภูมิคุ้มกัน ยาเหล่านี้มีชื่อว่าไบโอลอจิกส์ ไบโอลอจิกส์ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินตั้งแต่ระดับปานกลางถึงรุนแรง ยาพวกนี้มักใช้เมื่อร่างกายของคุณไม่ตอบสนองกับการบำบัดแบบดั้งเดิม หรือใช้กับคนที่มีโรคไขข้ออักเสบสะเก็ดเงิน

ตัวอย่างของไบโอโลจิกส์ที่ใช้เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงินได้แก่

  • Etanercept (Enbrel)
  • Infliximab (Remicade)
  • Adalimumab (Humira)
  • Ustekinumab (Stelara)

การบำบัดด้วยแสง

การรักษานี้เกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลตจากทั้งธรรมชาติหรือเทียม การรักษานี้สามารถทำเพียงอย่างเดียวได้ หรือการใช้ร่วมกับยาอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน

การบำบัดนั้นได้แก่

  • การฉายแสงอัลตราไวโอเลต
  • การบำบัดด้วยแสงอัลตราไวโอเลตแบบ Narrowband (Narrowband UVB therapy)
  • การบำบัดแบบ PUVA (PUVA Therapy)
  • เอ็กไซเมอร์เลเซอร์

การรักษาเฉพาะที่

ยาเฉพาะที่นั้นใช้กับผิวของคุณโดยตรง การรักษาเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วจะทำงานได้ดีที่สุดกับโรคสะเก็ดเงินในระดับต่ำถึงปานกลาง ในกรณีที่รุนแรงมากขึ้น การรักษาเฉพาะที่อาจใช้รวมกับยาทางปากหรือการบำบัดด้วยแสง

การรักษาเฉพาะที่นั้นได้แก่

  • มอยเจอร์ไรเซอร์
  • ซาลิไซลิก แอซิด
  • น้ำมันดิน
  • ยาสเตียรอยด์ชนิดที่ใช้ภายนอก
  • วิตามินดี Analogues (Vitamin D Analogues)
  • เรตินอยด์
  • แอนทราลิน (Dritho-Scalp)
  • สารยับยั้งแคลเซียม (Calcineurin Inhibitors) เช่น ทาโครลิมัส (Prograf) และ พิมีโครลิมุส (Elidel)

สรุป

ถ้าคุณมีโรคสะเก็ดเงิน ปรึกษาตัวเลือกการรักษากับแพทย์ของคุณ เมื่อโรคพัฒนา คุณอาจจะต้องเปลี่ยนการรักษา คุณอาจจะต้องการการรักษาที่ดีกว่าหากโรคสะเก็ดเงินรุนแรงขึ้นหรือไม่ตอบสนองกับการรักษา ในกรณีเหล่านั้น ยาทางปากอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการใช้ยาเหล่านี้ว่ามีผลกับคุณอย่างไร ปรึกษาแพทย์เพื่อหาการรักษาที่ช่วยคุณบรรเทาอาการโรคสะเก็ดเงินของคุณโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง