ผลการดำเนินงานด้านการศึกษาในรอบ 3 เดือน และทิศทางการดำเนินงานด้านการศึกษา – ครูระยอง

Print Friendly

สรุปผลการดำเนินงานด้านการศึกษาในรอบ 3 เดือนของกระทรวงศึกษาธิการ (กันยายน-ธันวาคม 2557) ความก้าวหน้าตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษา และทิศทางการดำเนินงานด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การบริหารงานของพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

  1. การดำเนินงานด้านการศึกษาช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาล

จากการที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 โดยได้กำหนดนโยบายไว้ 11 ด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 มาตรา 19  ที่ระบุให้รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน และส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะที่มีภารกิจในการจัดและส่งเสริม สนับสนุนการศึกษา เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยมีบทบาทหลักดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในข้อที่ 4  นโยบายการศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม  นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังเป็นส่วนราชการที่สำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายที่ 1 การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์  นโยบายที่ 2 นโยบายการรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ  นโยบายที่ 7 นโยบายการส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน   นโยบายที่ 8 นโยบายการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม และนโยบายที่ 10 นโยบายการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 3 เดือน นับตั้งแต่ พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกรและพลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันแรกที่กระทรวงศึกษาธิการ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 จนถึงเดือนธันวาคม 2557 ได้มีผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านต่างๆ ดังนี้

นโยบายที่ 1 การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์

– ได้จัดงาน “เทิดไท้พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน” ระหว่างวันที่ 3 – 5ธันวาคม 2557 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์และปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน

– จัดกิจกรรมคาราวานจิตอาสา กระทรวงศึกษาธิการ โดยให้หน่วยงานในสังกัดทุกแห่งในส่วนกลางจัดข้าราชการออกไปบำเพ็ญประโยชน์ในสถานที่ต่างๆ อาทิ วัด โรงพยาบาล บ้านพักคนชรา

– จัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา และเทิดทูนพระมหากษัตริย์ โดยจัดประชุมผู้บริหาร กศน. ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอใน4 ภูมิภาค เพื่อสร้างความรู้ ความตระหนัก เทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในชาติ รวมทั้งสามารถนำไปถ่ายทอดแก่ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทุกภาคส่วน

นโยบายที่ 2 การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ

– ดำเนินโครงการรณรงค์และแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา โดยเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกัน
ยาเสพติดแก่เด็กปฐมวัยในโรงเรียนอนุบาล และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกแห่งทั่วประเทศ 20,000 แห่ง

– จัดกิจกรรมป้องกันเด็กและเยาวชนก่อนวัยเสี่ยงให้มีภูมิคุ้มกันยาเสพติด ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ในโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนทุกแห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน

– จัดทำคู่มือจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6  และส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้กับโรงเรียนและสถานศึกษาเป้าหมายทุกแห่งทั่วประเทศ ที่เป็นสถานศึกษาขยายโอกาสมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั้งสังกัดภาครัฐและเอกชน

– ดำเนินโครงการ To Be Number One โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เพื่อรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษามาอย่างต่อเนื่อง

– ดำเนินการจัดตั้งและการดำเนินงานศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) หรือ “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า” ณ สำนักงานศึกษาธิการ ภาค 12 จังหวัดยะลา โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้การดำเนินงานทุกหน่วยในพื้นที่ให้มีเอกภาพและบูรณาการงานของกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและความสันติสุขอย่างยั่งยืน  พัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีให้มีคุณภาพ จัดค่ายพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ จัดค่าย O–NET ม.6 และ ป.6 จัดกิจกรรมสนับสนุนการฝึกอาชีพในโรงเรียนและกิจกรรมเข้าค่ายอาเซียนสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษา จัดสรรเงินอุดหนุนสถาบันศึกษาปอเนาะ สำหรับเป็นค่าบริหารจัดการสถาบันศึกษาปอเนาะ จำนวน 373แห่ง จัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกเพื่อผลิตและพัฒนาอาจารย์และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 จังหวัด นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาชุดนวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย หลักสูตร 350 ชั่งโมงอ่านออกเขียนได้ เพื่อให้เป็นหลักสูตรต้นแบบในการสอนภาษาไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพัฒนาครูเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการสอนภาษาไทย จำนวน 4 หลักสูตร

นโยบายที่ 4 การศึกษาและการเรียนรู้ ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

– มุ่งมั่นที่จะนำการศึกษามาสร้างสังคมไทยให้เข้มแข็งอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม โดยเร่งปฏิรูปการศึกษาและยกระดับคุณภาพการศึกษาซึ่งใช้ผลประเมินเป็นโจทย์ในการพัฒนา นำแนวทางการสอบ PISA มาใช้ขับเคลื่อนระบบการวัดและประเมินสมรรถนะผู้เรียน

– ดำเนินโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ และคุณลักษณะการเป็นพลเมืองไทยที่ดี โดยกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ในระดับเขตพื้นที่การศึกษาผ่านการจัดกระบวนการเรียนรู้ในสถานศึกษา โดยใช้ระบบ Coaching Team และTeacher’s Feedback

– ดำเนินกิจกรรมยกระดับคุณภาพการศึกษาในเขตเป้าหมาย เพื่อยกระดับผลทดสอบระดับชาติ (O-NET) ของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดำเนินการส่งเสริมผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ (เด็กอัจฉริยะ) เพื่อเป็นกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

ด้านการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส 

– ศธ.ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย ค่าจัดการเรียนการสอน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในภาคเรียนที่ 2/2557 และภาคเรียนที่ 1/2558 มีผู้เรียนได้รับการสนับสนุน จำนวน 11,591,627 คน

– ดำเนินการกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในปีการศึกษา 2557 สำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่จำนวน 54,946 ราย

– โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้ว จำนวน 4 รุ่น มีผู้ได้รับทุน 3,093 คน ให้ไปเรียนต่อในสาขาตามที่สนใจในต่างประเทศ และมีการปรับแนวทางการดำเนินงานที่การส่งเสริมให้ไปเรียนสายอาชีวศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านกำลังคนของประเทศในสายอาชีวะจำนวนมาก ทั้งภาคอุตสาหกรรม การไฟฟ้า และเกษตรกรรม โดยเฉพาะผู้ที่จบสายอาชีวะโดยตรงจากต่างประเทศ

– ดำเนินงาน กศน.ตำบล จำนวน 7,424 แห่ง โดยจัดบริการการศึกษาให้แก่เด็กที่ตกหล่น ยากจน และไร้ที่พึ่ง อันเนื่องมาจากอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล หรือยากลำบากในการคมนาคม ติดต่อสื่อสารเด็ก/เยาวชนที่ออกกลางคันจากระดับการศึกษาภาคบังคับ กลุ่มผู้จบการศึกษาภาคบังคับแต่ไม่ได้เรียนต่อ กลุ่มเด็ก/เยาวชนเร่ร่อน/ไร้บ้าน กลุ่มเด็ก/เยาวชน/บุตรกรรมกรก่อสร้าง

ด้านการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

– นำเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านโครงการขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเข้ามาใช้ โดยจัดการเรียนการสอนโดยใช้ระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัด สพฐ. จำนวน 15,369 โรง ครอบคลุมผู้เรียน จำนวน 1,015,974 คน และได้เตรียมการขยายไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

– มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การศึกษานอกระบบในวัดแบบไม่เป็นทางการ เชื่อมโยงระหว่างบ้าน-วัด-โรงเรียน (บวร) เข้าด้วยกัน โดยการจัดการเรียนการสอนในขั้นพื้นฐาน อาทิ จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย จัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จัดค่ายพักแรมลูกเสือเนตรนารี เป็นต้น การจัดการศึกษาต่อเนื่อง (ฝึกอาชีพระยะสั้น)

– ดำเนินโครงการจัดการความรู้เพื่อสร้างเสริมความเข้มแข็งชุมชน โดยส่งเสริมจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนในระดับต่ำกว่าปริญญา การศึกษาเพื่ออาชีพ และจัดการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรเพื่อพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งมีเป้าหมายการให้บริการ 15,025 คน ใน 44 ชุมชนทั่วประเทศ

            การส่งเสริมค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ

– ดำเนินการจัดกิจกรรมค่าย “เยาวชนคนรุ่นใหม่ใฝ่ค่านิยม” โดยมีกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักศึกษา ประชาชน จำนวน 64,900 คน ใน 928 อำเภอทั่วประเทศ

– ดำเนินโครงการส่งเสริมความเป็นพลเมือง โดยผ่านทักษะการอ่านคำกลอน “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” สำหรับผู้เรียนประถมศึกษา การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาล “มหาวิทยาลัยโปร่งใส บัณฑิตไทยไม่โกง” โดยใช้หลักค่านิยม 12 ประการ คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ เชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ครอบครัว ศาสนา และชุมชน ในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง รวมทั้งจัดทำบทเรียนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม

– กิจกรรมการพัฒนาผู้บริหารและครูเอกชนในระดับจังหวัด เรื่อง การคิดวิเคราะห์การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ความพอเพียง การเสริมสร้างค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ที่มีเป้าหมายเป็นผู้บริหารและครู จำนวน 30,180 คน

           ด้านการส่งเสริมอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะโดยเฉพาะในท้องถิ่นที่มีความต้องการแรงงาน และพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานวิชาชีพ

– ออกประกาศเรื่อง มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อให้การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีทั้งสถานศึกษาของรัฐและเอกชน มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่ากรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ และมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษา

– จัดงาน “อาชีวศึกษาทวิภาคีไทย” เพื่อสร้างค่านิยมอาชีวศึกษา เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดอาชีวศึกษา
ระบบทวิภาคี ส่งเสริมสนับสนุนให้มีผู้เข้าเรียนอาชีวศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทวิภาคีให้มากขึ้น

– ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสถานประกอบในการพัฒนาและผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา อาทิ ร่วมกับหอการค้าเยอรมัน-ไทย หอการค้าไทย และกลุ่มมิตรผล เพื่อผลิตกำลังคนรองรับภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรและภาคบริการ โดยนำร่องในวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 6 แห่ง ใน 3 จังหวัด ข้อตกลงความร่วมมือกับศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) เพื่อพัฒนากำลังคนด้านการควบคุมเรือประมง ในระยะเวลา 3 ปี มีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ จำนวน  4 แห่ง   ข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) โดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรผลิตกำลังคนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาพาณิชยกรรม สาขาธุรกิจค้าปลีก เพื่อป้อนอุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศ

การพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูที่มีคุณภาพและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู เน้นครูผู้สอนให้มีวุฒิตรงตามที่สอน

– ดำเนินโครงการผลิตครูมืออาชีพ ในรูปแบบประกันการมีงานทำ เพื่อผลิตครูคุณภาพและแก้ไขปัญหาขาดแคลนครู ในปี 2557 มีนิสิตนักศึกษาครูที่กำลังศึกษาชั้นปีที่ 5 และกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษา ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จำนวน 1,047 คน ซึ่งได้รับการบรรจุเข้ารับราชการครูเรียบร้อยแล้ว

– ดำเนินการพัฒนาครูผู้สอนในทุกระดับการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน อาทิ จัดทำหลักสูตรเพื่ออบรมครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (ครู สควค.)เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เตรียมการพัฒนาบุคลากรด้านการวัดผลประเมินผลที่เน้นการคิดวิเคราะห์ตามแนวทาง PISA วิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ความรู้ สามารถนำไปจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การแก้ไขปัญหาความขาดแคลนครู  ศธ.ได้จัดทำประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่อง กำหนดประเภทวิชาและสาขาวิชาขาดแคลน ด้านอาชีวศึกษา(9 ประเภทวิชา 86 สาขาวิชา) จัดทำแนวทางปฏิบัติในการออกหนังสืออนุญาตปฏิบัติการสอนโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กรณีผู้มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีสาขาวิชาขาดแคลน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วยที่มีเหตุพิเศษ ปรับหลักเกณฑ์และวิธีการโอนพนักงานส่วนท้องถิ่นและข้าราชการอื่นมาบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอน  ปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย และพัฒนาระบบเกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังครูในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอาชีวศึกษา

นโยบายที่ 7 การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน

– ได้มีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยจัดทำแผนยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงภายหลังการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (post 2015) พ.ศ. 2559 – 2563

– จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอาเซียนศึกษาในหน่วยงานในสังกัด เพื่อประสานและขับเคลื่อนความเข้าใจ ส่งเสริมต้นแบบ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงด้านภาษา

– จัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม

– พัฒนาโรงเรียนมาตรฐานสากล หลักสูตรภาษาอังกฤษ EP MEP EIS ในสถานศึกษา

– จัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา

– ดำเนินการพัฒนาทักษะการเรียนการสอน ด้านภาษาอังกฤษและ ภาษาประเทศเพื่อนบ้าน โดยพัฒนาครูวิทยากรแกนนำการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมความพร้อมการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ English Bilingual Education (EBE)

– จัดค่ายวิชาการภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนภายในเดือนมกราคม 2558 

นโยบายที่ 8 การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม

– มุ่งเน้นการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษาและการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการทำงาน การให้บุคลากรด้านการวิจัยของภาครัฐสามารถไปทำงานภาคเอกชน และสามารถสร้างสังคมนวัตกรรม โดยสนับสนุนทุนให้แก่มหาวิทยาลัยภายใต้โครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษา 70 แห่ง รวมทั้งสิ้น 538 โครงการ สนับสนุนผลงานวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้โดยสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ รวมไปถึงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี

– ดำเนินโครงการบูรณาการการยกระดับการพัฒนาและส่งเสริมนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับสู่มาตรฐานสากล โดยพัฒนาและขยายผลอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สำหรับเยาวชน

– ดำเนินการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าโครงการอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2557 ซึ่งมีนักเรียนสมัครสอบเข้าแข่งขันจำนวน 131,740 คน

– ดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตครูผู้มีความสามารถพิเศษ ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) โดยสรรหาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 1,136 คน

นโยบายที่ 10 การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ

– ได้กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการให้ความรู้กับบุคลากรในสถาบันการศึกษา และกระบวนการจัดการโดยการวางระบบ และให้ ป.ป.ช. จังหวัดมีส่วนร่วมกับโครงการขนาดใหญ่

– ดำเนินโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา “ป้องกันการทุจริต” โรงเรียนสุจริต

– จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอผลงาน Best Practice “โรงเรียนสุจริต ผลิตนวัตกรรม นำสู่การปฏิบัติ” โดยมีผู้ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วยนักเรียน ครู ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์/นักวิชาการ

  1. ความก้าวหน้านโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา

1) ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการเป็นองค์กรหลักที่มุ่งจัดและส่งเสริมการศึกษาให้ประชาชนมีความรูความสามารถ มีคุณภาพและศักยภาพในการพัฒนาตนเองเสริมสร้างสังคมคุณธรรม พัฒนาสังคมฐานความรูและสามารถยืนหยัดในเวทีโลกบนพื้นฐานของความเป็นไทย โดยมีการจัดระเบียบบริหารราชการในส่วนกลาง เพื่อทำหนาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการกีฬาเพื่อการศึกษา ติดตามตรวจสอบและประเมินผล

แต่จากการปฏิบัติราชการพบสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือ การกระจายโอกาสทางการศึกษายังไมเป็นธรรมและทั่วถึง เกิดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการการศึกษา มาตรฐานและการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในทุกระดับกำหนดจากส่วนกลาง ซึ่งไมสอดคลองกับสภาพปัจจุบันและความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการจัดการศึกษายังไมเหมาะสมกับการศึกษาแต่ละระดับและประเภท นโยบายการผลิตผู้สำเร็จการศึกษาไมสอดคลองกับทิศทางความต้องการของตลาดแรงงานนโยบายการบริหารจัดการศึกษาขาดความต่อเนื่องและชัดเจน เนื่องจากมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง

โครงสร้างการจัดระเบียบบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการยังไมสอดคลองกับภารกิจและไมเป็นเอกภาพ การตัดสินใจการบริหารและจัดสรรงบประมาณรวมศูนย์กลางไว้ในส่วนกลาง สถานศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานมีปริมาณไม่เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการในทุกระดับและทุกสาขาวิชา

ดังนั้น จากสภาพปัญหาอุปสรรคต่างๆ จึงเป็นกรอบกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปการศึกษา ดังนี้

  1. เพิ่มและสร้างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทยอย่างเท่าเทียม
  2. ปฏิรูปการเรียนรู้และยกระดับคุณภาพการศึกษา
  3. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และส่งเสริมการวิจัยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
  4. ผลิตและพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพ
  5. ปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  6. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทันสมัย

2) เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่จัดและส่งเสริมการจัดการศึกษาของชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาประเทศโดยรัฐบาลมุ่งจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษาทางเลือกไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ

  1. สร้างคุณภาพคนไทยให้สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้ ด้วยความใฝ่รู้และทักษะที่เหมาะสม
  2. คนไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม
  3. สร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ เพื่อสร้างสัมมาชีพในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนากำลังคนให้เป็นที่ต้องการเหมาะสมกับพื้นที่

สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ ได้กำหนดจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายหลักของการปฏิรูปการศึกษาไว้ คือ สร้างระบบการศึกษาของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดความมั่นคงยั่งยืน  สร้างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทยอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานสากล  ยกสถานะวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ครูเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และบูรณาการการปฏิบัติราชการทุกระดับเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันและเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

3) ผลการดำเนินงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้

คณะที่ปรึกษา ประกอบด้วย – นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์  – นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์  – นายตวง อันทะไชย  – นางทิชา ณ นคร – นายมีชัย วีระไวทยะ

คณะกรรมการ  โดยมีพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ นายกฤษณพงศ์  กีรติกร และพลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธานกรรมการ โดยมีกรรมการอีก 21 คน เช่น – พลเอก สุทัศน์  กาญจนานนท์กุล  – นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ – นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  – นายวิจารณ์ พานิช  – นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์  – นายสมชัย ฤชุพันธุ์ – นางประภาภัทร นิยม – นายวรากรณ์ สามโกเศศ  – นางสิริกร มณีรินทร์  – นายนคร ตังคะพิภพ  – นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ – นายอมรวิชช์ นาครทรรพ  – นายสมพร ใช้บางยาง  – นางสุทธศรี วงษ์สมาน – นายแพทย์กำจร ตติยกวี – นายกมล  รอดคล้าย  – นายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์ – นายพินิติ รตะนานุกูล เป็นกรรมการและเลขานุการ
– นายประวิต เอราวรรณ์  นายชาญ ตันติธรรมถาวร และนายเฉลิมชนม์  แน่นหนา เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว มีหน้าที่จัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูปด้านการศึกษา เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับด้านการศึกษาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบหมายบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการตามที่เห็นสมควร รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงานเพื่อดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย

คณะกรรมการดังกล่าว ได้ประชุมครั้งแรกไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ โดยที่ประชุมได้หารือถึงกรอบการปฏิรูปการศึกษา เพื่อต้องการให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นนโยบายพื้นฐานของทุกรัฐบาล ที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็ควรดำเนินการตามกรอบ เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาของไทยเกิดความต่อเนื่อง ยั่งยืน และไม่ถูกแทรกแซงจากระบบการเมือง ทั้งยังเห็นพ้องในหลักการว่าควรมี “คณะกรรมการระดับชาติ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิรูปการศึกษา” ทั้งระยะเร่งด่วน (1 ปี) ระยะปานกลาง (1-3 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี)

นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ในคณะกรรมการชุดนี้ 7 คณะ เพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อาทิ คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาระบบงบประมาณและทรัพยากรเพื่อการศึกษา, คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการและการติดตามประเมินผล, คณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายการศึกษา, คณะอนุกรรมการด้านการกระจายอำนาจ, ด้านการปฏิรูปหลักสูตร ด้านการผลิตและพัฒนาครู เป็นต้น

ประการสำคัญ คือ ได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการปฏิรูประบบการเรียนรู้สู่ผู้เรียน (Education Reform Lab & Coaching Lab) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินการเพื่อนำร่องการกระจายความรับผิดชอบ (หรือกระจายอำนาจ) ลงสู่เขตพื้นที่การศึกษา เป็นเวลา 3ปีต่อเนื่อง (พ.ศ.2558-2560) ในเขตพื้นที่การศึกษา 20 เขตๆ ละ 15 โรงเรียน ครอบคลุมโรงเรียนแกนนำซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีผลการเรียนรู้ต่ำเป็นกลุ่มเป้าหมายการดำเนินงาน รวมทั้งสิ้น 300 โรง โดยให้แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาวิเคราะห์สถานภาพและตั้งโจทย์การพัฒนาโรงเรียนดังกล่าว พร้อมทั้งจัดให้มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน (Reform Lab) และปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน (Coaching Lab) จากนั้นจึงจะร่วมกันเลือกประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้คณะทำงาน พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักประเมินผลติดตามความก้าวหน้าเป็นระยะทุกๆ 3 เดือน และ 6 เดือนต่อไป

ทั้งนี้ จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 7 มกราคม 2558 ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นการวางรากฐานที่ดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในด้านต่างๆ ของประเทศอย่างยั่งยืน จึงจะให้มีการประชุมหารือร่วมกันมากขึ้น ทั้งในส่วนของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการทั้ง 7 คณะ อาจเป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง

  1. ทิศทางการดำเนินงานด้านการศึกษาในอนาคต

“การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ เป็นคำพูดที่ชี้ให้เห็นว่าการศึกษานั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาคนและประเทศ เพราะคนถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนทรัพยากรในด้านอื่นๆ ของชาติ หากประเทศใดประชาชนมีความรูสูง มีความฉลาดทั้งด้านปัญญา อารมณ์และจิตสำนึกเพื่อสังคม มีความเข้มแข็งทางภูมิปัญญามากพอที่จะช่วยกันแกไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ย่อมส่งผลให้ประเทศนั้นมีความเจริญตามไปด้วย

จึงสรุปไดวาการศึกษาเป็นกลไกที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาชาติ เนื่องจากการศึกษาจะช่วยให้ประชาชนอ่านออกเขียนได คิดวิเคราะห์เป็น เรียนรูคุณธรรมจริยธรรม ความเป็นพลเมือง และการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมตลอดจนถึงทักษะในการประกอบอาชีพและทักษะทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้มีความสามารถในการแข่งขัน ลดความเหลี่อมล้ำในสังคมในระยะยาว

กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่จัดและส่งเสริมการจัดการศึกษาของชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลมุ่งจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษาทางเลือกไปพร้อมกัน เพื่อสร้างคุณภาพของคนไทยให้สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนได้เต็มตามศักยภาพ ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้โดยมีความใฝ่รู้และทักษะที่เหมาะสม เป็นคนดีมีคุณธรรม สร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ โดยเน้นการเรียนรู้เพื่อสร้างสัมมาชีพในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนากำลังคนให้เป็นที่ต้องการเหมาะสมกับพื้นที่ ทั้งในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และธุรกิจบริการ

จึงได้กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติในภาพรวม และทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในอนาคต ดังนี้

แนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติในภาพรวม

  1. การพัฒนาและปฏิรูปการศึกษา จะต้องยึดหลักการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ และความต้องการของทุกภาคส่วนในสังคม มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งเป็นไปตามกระบวนการของสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแนวนโยบายของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้การดำเนินงานเป็นที่ยอมรับและเกิดความมั่นคงยั่งยืนในระบบการศึกษาของไทย
  2. การสร้างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทย จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมโดยการน้อมนำแนวทางการพัฒนาระบบการจัดการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้มีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ได้โดยสะดวก และสามารถพัฒนาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเท่าเทียม
  3. การพัฒนาระบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาหลักสูตรทางการศึกษา จะต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับความรู้ให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และปลูกฝังคุณธรรม การสร้างวินัย ปลูกฝังอุดมการณ์ความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การมีจิตสาธารณะ ความตระหนักถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด อุดมการณ์ และความเชื่อ รวมทั้งรู้คุณค่าและสืบสานวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย
  4. การส่งเสริมและยกสถานะของครูซึ่งเป็นบุคลากรหลักในระบบการศึกษา จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงในสังคม เป็นบุคลากรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดี ในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม มีภูมิความรู้และทักษะในการสื่อสารถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสม มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู ตลอดจนมีฐานะและคุณภาพชีวิตที่ดีสอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน
  5. การบริหารและการปฏิบัติราชการกระทรวงในทุกระดับ จะต้องให้ความสำคัญกับการบูรณาการการปฏิบัติของทุกหน่วยงานในสังกัดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและประสานสอดคล้องกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงานด้านการศึกษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว และตรงกับความต้องการของสังคม

ทิศทางในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในอนาคต

การขับเคลื่อนการศึกษาในอนาคต กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการควบคู่ไปกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ มีผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นคณะที่ปรึกษา เช่น ศาสตราจารย์นายแพทย์กระแส  ชนะวงศ์  มีพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ

กรอบแนวทางการขับเคลื่อนด้านการศึกษาภาพรวม

  1. การปฏิรูปครู โดยที่ผลการวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า “ครู” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการศึกษา การปฏิรูประบบครู เพื่อให้ได้ครู ดี เก่ง และมีคุณธรรม จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาครูขึ้น ซึ่งกรอบเพื่อดำเนินการแนวทางและมาตรการสำคัญ มีดังนี้

– ปรับระบบบริหารบุคคล เนื่องจากเป็นกระบวนการสำคัญที่จะทำให้ได้ครูและผู้บริหารที่เก่ง ดี มีคุณธรรม โดยต้องมีการปรับทั้งระบบ ได้แก่ การสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้มีความดี ความเก่งจากทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาขาดแคลน และนักเรียนทุนให้มาเป็นครูได้

– ปรับระบบการผลิตและการพัฒนา โดยให้มีกระบวนการปลูกฝังจิตวิญญาณความเป็นครู  ให้มีการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นพัฒนาด้านสมรรถนะในการสอน จัดให้มีคูปองการพัฒนาครู

– ปรับเกณฑ์การโยกย้าย เพื่อให้ครูและผู้บริหารได้มีระยะเวลาในการพัฒนานักเรียน และโรงเรียนให้ก้าวหน้าอย่างเหมาะสม ซึ่งมีการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์แล้ว

– จัดทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาครู คณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ระยะ 5-10 ปี  เพื่อบริหารจัดการในการกำหนดการลด/เพิ่ม กระจายครูที่เหมาะสมรวมทั้งวางระบบผลิตและพัฒนาและมาตรการจูงใจ แผนพัฒนาสมรรถนะ และความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ตลอดจนแนวทางการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิผล

– ปรับระบบการจูงใจ เพื่อดึงดูดและธำรงรักษาครูและผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถ ความดี ให้อยู่ในระบบ ตลอดจนให้เกิดระบบที่เป็นธรรมเช่นปรับระบบฐานเงินเดือนครู

  1. การปฏิรูปการเรียนรู้ โดยผลการวิจัยชี้ชัดว่า การศึกษาจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งคือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ จึงมีแนวทางและมาตรการในการดำเนินการระยะต่อไป ดังนี้

– ส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามศักยภาพและความหลากหลายของผู้เรียน ตลอดจนเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานและคุณภาพแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ด้วยการส่งเสริมเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ส่งเสริมการศึกษาทางเลือก ขยายผลต้นแบบ/รูปแบบที่ดีพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต โทรทัศน์เพื่อการศึกษา

– ขับเคลื่อนการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระบวนการเรียนการสอน ที่เน้นความเป็นพลเมือง ประวัติศาสตร์ ระเบียบ วินัย ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ทักษะในศตวรรษที่ 21 อาชีพและภาษาอังกฤษ อย่างต่อเนื่องจากระยะเร่งด่วน

– จัดทำโครงการนำร่องโครงการปฏิรูประบบการเรียนรู้สู่ผู้เรียน (Education Reform Lab & Coaching Lab) เป็นการกระจายอำนาจลงสู่เขตพื้นที่การศึกษานำร่อง 20 เขต โรงเรียนแกนนำ 300 โรงเรียน และปฏิรูปการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ในสาระวิชาหลักให้สูงขึ้นกว่าเดิม ฯลฯ

  1. การเพิ่มและกระจายโอกาสอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง เท่าเทียม เพื่อให้เด็ก เยาวชน ประชาชน มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โดยมีแนวทาง ดังนี้

– พัฒนาเครือข่ายโรงเรียนให้เข้มแข็ง เพื่อช่วยกันยกระดับและพัฒนาคุณภาพ

– พัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโรงเรียนชายขอบ ตลอดจนแก้ไขปัญหาคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็ก

– เพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของภาคส่วนอื่นๆ ในสังคม เช่น ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางการศึกษาร่วมกับภาคเอกชน (Public Private Partnership: PPP) เพื่อสนับสนุนการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ขอความร่วมมือให้ทุกสื่อจัดรายการเพื่อการศึกษาในช่วงที่เหมาะสม

– ปรับระบบกองทุนต่างๆ ทั้งระบบ เพื่อส่งเสริมผู้ด้อยโอกาสและการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง เช่น วิจัยให้ได้ข้อสรุปในเรื่องระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ระบบการจัดสรรทุน เพื่อให้มีเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน และได้พัฒนาบุคลากรที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในภาพรวม

  1. การปฏิรูประบบการบริหารจัดการศึกษา โดยที่การบริหารจัดการเป็นแกนในการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ในระยะปานกลาง และระยะยาวต้องมีแนวทางและมาตรการเพื่อขับเคลื่อนระบบการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องได้แก่

– ขยายผลการกระจายอำนาจการบริหารจัดการ โดยใช้โรงเรียน/พื้นที่เป็นฐานให้ครอบคลุมมากขึ้น และเพิ่มอิสระในการบริหาร สามารถตรวจสอบได้

– ปรับระบบการบริหารการอาชีวศึกษาให้มีเอกภาพ เนื่องจากปัจจุบันอาชีวศึกษาเอกชนและอาชีวศึกษาของรัฐ แยกการบริหารจัดการ ไม่มีความเชื่อมโยงกันทำให้ยังมีความลักลั่น

– แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง สร้างความโปร่งใสในแวดวงการศึกษา พร้อมปลูกจิตสำนึกสร้างวัฒนธรรมธรรมาภิบาล

  1. การผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ ควรมีแนวทางและมาตรการ ดังนี้

– ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อให้มีส่วนร่วมพัฒนาโรงเรียนดี-อาชีวะดี-ครูดี-สื่อดี และเรื่องอื่นๆให้มากขึ้น อันจะส่งผลให้การผลิตกำลังคนเชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น

– ขยายผลการจัดหลักสูตรทวิภาคี และสหกิจศึกษา โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการสนับสนุนโรงเรียนในโรงงาน เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้นและมีความเป็นมาตรฐานสากล

– จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (กรอ.อศ.) โดยส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัดและสนับสนุนการอาชีวศึกษาอย่างจริงจัง

– จัดให้มีหลักสูตรทักษะอาชีพควบคู่สามัญในระดับมัธยมศึกษา อันจะช่วยเพิ่มกำลังแรงงานระดับกลาง และเป็นการเพิ่มช่องทางแก่เด็กและเยาวชนที่มีเป้าหมายเข้าสู่ระบบแรงงานระดับกลางด้วย

– พัฒนาระบบค่าตอบแทนตามสมรรถนะ ความรู้ ความสามารถ และเร่งใช้ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อให้ค่าตอบแทนสะท้อนสมรรถนะของแรงงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบการจ้างงาน และส่งเสริมค่านิยมในการเรียนสายอาชีพ

– ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา ตลอดจนเชื่อมโยงการวิจัยและนวัตกรรมกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ

– ผลิตและพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาเอกเพื่อพัฒนาคุณภาพด้านวิชาการระดับสูง

– ผลิตกำลังคนตอบสนองความต้องการเร่งด่วนและการพัฒนาประเทศ โดยร่วมมือผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาตอบสนองภาคการผลิตและบริการในสาขาจำเป็นและขยายโอกาสทางการศึกษา และยกระดับแรงงานไทยร่วมกับสถานประกอบการ โดยพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการ

– ปรับภาพลักษณ์อาชีวศึกษา โดยเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจระบบการเรียนอาชีวศึกษา โอกาสในการทำงาน และความก้าวหน้าของอาชีพในรูปแบบต่างๆ  เปิดสอนหลักสูตรหรือฝึกอาชีพระยะสั้นในสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้มีการเข้าเรียนต่อในสายอาชีวศึกษา และเพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต

– ยกระดับความร่วมมือกับต่างประเทศที่มีศักยภาพให้มากขึ้น โดยจัดทำความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา พัฒนาทักษะวิชาชีพกับประเทศเพื่อนบ้าน

  1. การปรับระบบการใช้ ICT เพื่อการศึกษาโดยที่ปัจจุบันระบบ ICT มีความก้าวหน้าและมีผลต่อการเรียนรู้อย่างมาก ในระยะต่อไปควรมีแนวทางและมาตรการเพื่อขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

– การจัดให้มีระบบ BOI การศึกษา เพื่อยกเว้นภาษี-อากรการนำเข้าอุปกรณ์ สื่อเพื่อการศึกษา

– ขยายผลระบบ Free Wifi ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัดเวลา และสถานที่

– พัฒนากองทุนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ

  1. การพัฒนาการศึกษาระหว่างประเทศ โดยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกลุ่มประเทศในอาเซียนในระดับภูมิภาค ด้วยการจัดทำแผน กรอบแนวการดำเนินงานความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างประเทศ ในการเสริมสร้างคุณภาพและโอกาสทางการศึกษา การเคลื่อนย้ายพรมแดน การจัดการศึกษาให้เป็นสากล

ที่มา : moe
โดย : กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานรัฐมนตรี

krurayong

ผู้เขียน: krurayong

สุธาราทิพย์ แสงสุวรรณ เป็นที่ปรึกษาและติดยาเสพติดอายุ 31 ปีที่โรงพยาบาลศรีวิชัย เธอสำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2553 เธอทำงานกับทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่เพื่อจัดการกับปัญหาการเสพติดและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและแอลกอฮอล์ ในเวลาว่างของเธอเธอมีส่วนร่วมในชมรมละครของชุมชนท้องถิ่น